วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่) เที่ยวจันทบุรี ไปกับตำนานมังกร

วัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่) เที่ยวจันทบุรี ไปกับตำนานมังกร


บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยๆในหนังจันกำลังภายใน อาจจะไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่นะครับ ไหนจะเล่าเรื่องราวของวัดจีนแล้วก็ขึ้นต้นให้เข้ากับสิ่งที่จะเล่าหน่อยนะครับ วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องราวของวัดจีน ในจังหวัดจันทบุรี ที่นี่เป็นสถานที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่นี่มีนามว่า "วัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่)"เมื่อไม่นานมานี้ข้าน้อย เอ้ย ! ผมได้มีโอกาสเข้าไปใน วัดมังกรบุปผาราม ไม่อยากบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกเลยครับที่ได้ไปที่นี่(เสียหายเลยเป็นคนจันทบุรีแท้ๆ) ทำให้นึกถึงหนังจีนกำลังภายในและอยากรู้ที่มาของวัดนี้จึงได้ความมาว่า

ประวัติความเป็นมาของวัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่)


วัดมังกรบุปผาราม  มีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า เล่งฮั้วยี่ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2520  มีพื้นที่จำนวน 8 ไร่เศษ  เป็นวัดในพุทธศาสนา มหายานฝ่ายจีนนิกาย  มีประวัติเกี่ยวข้องกับ  พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็ง)  ปฐมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย  เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  (เล่งเน่ยยี่)  กรุงเทพฯ  และวัดจีนประชาสโมสร  (เล่งฮกยี่)  จังหวัดฉะเชิงเทรา

ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ท่านพระอาจารย์สกเห็งเป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง  ประเทศจีน  ท่านได้ยินกิตติศัพท์ว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรือง  พระพุทธศาสนาจึงเดินทางเข้ามาเพื่อนมัสการปูชนียสถานในประเทศไทย  เมื่อแรกที่ท่านเข้ามานั้นได้จำพรรษาอยู่ ณ วิหารพระกวนอิมข้างวัดกุศลสมาคร  ชาวจีนในพระนครเห็นความเคร่งครัดในศิลาจารวัตรก็พากันเลื่อมใสจึงชวนกันเรี่ยไรเงินบูรณะเป็นอารามฝ่ายจีนนิกายชื่อ  วัดย่งฮกยี่  ต่อมาได้รับพระราชทานนามวัดเป็นภาษาไทยว่า  “วัดบำเพ็ญจีนพรต”  จึงเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จีนจำพรรษาตั้งแต่นั้นมา  เมื่อมีพระสงฆ์จีนมากขึ้น

ท่านพระอาจารย์สกเห็งเห็นว่า ควรจักขยับขยายวัดฝ่ายจีนนิกายให้กว้างออกไป  ท่านได้เลือกชัยภูมิแห่งหนึ่งตรงบริเวณถนนเจริญกรุง  เขตป้อมปราบฯ  สร้างอารามใหญ่ขึ้น  ทั้งนี้โดยพระบรมราชูปถัมภ์และการช่วยเหลือของพุทธบริษัทไทย-จีน  ได้ชื่อทางภาษาจีนว่า  “วัดเล่งเน่ยยี่”  ต่อมาพระอาจารย์สกเห็งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์  เป็น พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย  ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามวัดเป็นภาษาไทยว่าวัดมังกรกมลาวาส

ต่อมาพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็ง)  กับศิษย์ผู้หนึ่งชื่อ  “พระกวยเล้ง”  ได้ไปสร้างวัดเล่งฮกยี่  หรือ  “วัดจีนประชาสโมสร”  ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา  และท่านเตรียมจะสร้างวัดเล่งฮั้วยี่  หรือวัดมังกรบุปผาราม  ที่จังหวัดจันทบุรี อีกแห่งหนึ่ง  โดยท่านได้จาริกมาจำพรรษาที่นี่ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2417

ซึ่งต่อมาพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็ง)  ได้นำคณะพุทธศาสนิกชนชาวจีนเข้ารับเสด็จ  และกราบทูลรายงานการก่อสร้างวัด  เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5  เสด็จพระราชดำเนินประพาสน้ำตกพลิ้ว  ปีวอก  พ.ศ.  2427  (มีปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันภาค 24  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันออก)

แต่ต่อมาท่านพระอาจารย์สกเห็ง  เกิดอาพาธถึงแก่มรณภาพเสียก่อน  จึงเหลือแต่มงคลนามสำนักแห่งนี้  ซึ่งท่านได้ตั้งชื่อภาษาจีนว่า  เล่งฮั้วยี่  ศิษย์ของท่าน  คือ  หลวงจีนคณาณัติจีนพรต (กวยล้ง)  ได้ดำเนินการต่อ  แต่ท่านพระอาจารย์กวยเล้ง  ก็ได้มรณภาพลงเสียก่อน  สำนักแห่งนี้จึงไม่สำเร็จตามโครงการที่วางไว้

หลังจากนั้นเป็นเวลา 80 ปีเศษ  สำนักแห่งนี้รกร้างและมีหลักฐานเป็นที่ดินแปลงหนึ่งของธรณีสงฆ์  ตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าน้ำตกพลิ้ว  ด้วยเหตุที่การคมนาคมไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน   และยังชุกชุมด้วยไข้ป่า  ทางราชการสมัยนั้น  จึงได้ยกธรณีสงฆ์แห่งนี้ถวายวัดเขตต์นาบุญญาราม  อำเภอเมือง  จังหวัดจันทบุรี  ในสังกัดอนัมนิกายปกครองรักษาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเหลือแต่มงคลนามของวัด

จนประมาณปี พ.ศ. 2508  ได้มีพระเจตชฎา  ฉายาเย็นฮ้วง  ศิษย์ของท่านพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร(โพธิ์แจ้ง)  อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย  บังเกิดกุศลเจตนาที่จะสืบสานงานก่อสร้าง  สำนักวัดมังกรบุปผาราม(เล่งฮั้วยี่)  ให้สำเร็จตามเจตนารมณ์ของบูรพาจารย์  โดยท่านได้ปฏิบัติธรรมหาความวิเวกเดินตามแนวทางของท่านอาจารย์จีนนิกายในอดีต  ณ  บริเวณน้ำตกพลิ้ว  อาศัยพุทธบารมีเป็นที่ตั้ง  ด้วยความศรัทธามั่นคงของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดในการนำของอุบาสก-อุบาสิกา  ได้แก่  1.อึ้งชุงฮ้อกอี  2.จีนล่งเส็งอี  3.บ้วนแซอี  4.นายสำรอง  จิตตสงวน  5.นายซ้อน  ริผล  จึงได้รวบรวมปัจจัย  ทั้งด้านทุนทรัพย์และวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างและแรงงานเพื่อพระพุทธศาสนาได้จัดหาที่ดินแปลงหนึ่ง  เป็นสถานที่ก่อสร้างวัดที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  มีความยินดีได้ร่วมแรงร่วมใจปฏิสังขรณ์ก่อสร้างวัดมังกรบุปผารามขึ้นใหม่  แต่ต่อมาพระเย็นฮ้วง มรณภาพลงด้วยไข้มาเลเรีย  เมื่อ พ.ศ. 2518  พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร(โพธิ์แจ้ง)  เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายในครั้งนั้น  จึงได้มีบัญชามอบภารกิจให้  หลวงจีนคณาณัติจีนพรต(เย็นบุญ)  เจ้าอาวาสวัดทิพยวารีวิหาร  ได้ดูแลนำพุทธศาสนิกชนร่วมสนับสนุนจนการก่อสร้างวัดได้สำเร็จลง

ศิลปะสถาปัตยกรรมวัดมังกรบุปผาราม

สถาปัตยกรรมเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างพุทธศิลป์ไทย-จีน  ศิลปะแบบสถาปัตยกรรมจีนภาคใต้

ถาวรวัตถุที่สำคัญ ๆ ของวัด

ด้านหน้าวัดมีซุ้มประตูวัด  สร้างด้วยศิลปะจีน  ลานหน้าวัดด้านนอกเป็นลานโล่งมีสนามหญ้า  มีหอแปดเหลี่ยมเคียงคู่กันสองหลัง  ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคและหินขัด  เป็นลดลายต่าง ๆ  สวยงาม

หอแปดเหลี่ยม  หลังด้านซ้ายเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงจีนคณาณัติจีนพรต(เย็นบุญ)  อดีตปลัดขวาจีนนิกาย  เจ้าอาวาสวัดทิพยวารีวิหาร  และรักษาการเจ้าอาวาสวัดมังกรบุปผาราม  ท่านเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างวัดได้สำเร็จลง  มรณภาพ  เมื่อ พ.ศ. 2526

หลังด้านขวาเป็นศาลาที่ระลึก  พล.อ.กฤษณ์  ศรีวรา  ซึ่งเป็นผู้ได้อุปถัมภ์การก่อสร้างวัดมังบุปผาราม

ด้านหน้าวัดเป็นวิหารท้าวจตุโลกบาล  ด้านหน้าวิหารจารึกธารณีภาษาสันสกฤต  อักษรสิทธัม  ภายในประดิษฐานพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์(หมี่เล็กผ่อสัก)  พระโพธิ์สัตว์ผู้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต  ด้านหลังเป็นพระสกันทโพธิสัตว์(อุ่ยท้อผ่อสัก)  และท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่(ซี่ไต่เทียงอ้วง)

อุโบสถ  เป็นรูปทรงจีนหลังคาซ้อน  3  ชั้น  ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาประธานสามพระองค์  เมื่อเราหันหน้าสู่ภายในอุโบสถ  คือองค์กลางพระศากยมุนีพุทธเจ้า(เซ็กเกียหม่อนี้ฮุก)  องค์ซ้ายพระอมิตาภพุทธเจ้า (ออมีท้อฮุก)  องค์ขวาพระไภษัชยคุรุ  พุทธเจ้า(เอี๊ยะซือฮุก)  พร้อมด้วยพระสาวกเบื้องซ้ายและขวา  คือพระมหากัสสปเถระ(เกียเหี๊ยะจุนเจี้ย)  และพระอานนท์(ออหนั่งท้อจุนเจี้ย)  ด้านข้างประดิษฐานพระมัญชุศรีโพธิสัตว์(บุ่งซู่ผ่อสัก)  ผู้เลิศด้วยมหาปัญญาประทับบนหลังสิงโต  หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์  ทรงมีพระปัญญาคุณเลิศกว่าหมู่สรรพสัตว์  พระสมันตภัทรโพธิสัตว์(โผวเฮี้ยงผ่อสัก)  ผู้เลิศด้วยมหาจริยาประทับบนหลังช้างเผือกหกงา  อันหมายถึงบารมีหก  ที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญ  รูปเคารพทั้งหลายปิดทองคำเปลวเหลืองอร่ามประดิษฐานภายในซุ้มแบบจีนบนฐานชุกชี  ภายในมีลวดลายไม้แกะสลักปิดทองแบบศิลปะจีนอย่างสวยงาม  พื้นภายในเป็นหินขัดยอดหลังคาอุโบสถเป็นเจดีย์  พื้นอุโบสถด้านนอกเป็นหินขัดลายจีน

ด้านหลังอุโบสถเป็นวิหารสุขาวดีตรีอารยะ  ภายในประดิษฐานพระปฏิมาพระอมิตาภพุทธเจ้า  องค์ศาสดาแห่งสุขาวดีโลกธาตุปัจฉิมทิศ  พร้อมด้วยพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(กวงซีอิมผ่อสัก) และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์(ไต่ซีจี่ผ่อสัก)  มหาสาวกของพระองค์  แห่งสุขาวดีพุทธเกษตร  จีงเรียกกันว่าพระตรีอารยะแห่งปัจฉิมทิศ(ไซฮึงชาเสี่ย)  คือแดนสุขาวดีนั่นเอง  ด้านข้างประดิษฐานรูปเหมือนพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็งมหาเถระ)  ปฐมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย  ผู้สถาปนาวัดมังกรบุปผาราม  ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรูปเหมือนพระอาจารย์เย็นฮ้วง  ผู้พัฒนาวัดมังกรบุปผารามในสมัยต่อม

นอกจากนี้ยังมี  วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(กวนซีอิมผ่อสัก)  ปางสหัสรหัตถ์สหัสรเนตร  (พระกวนอิมปางพันมือพันตา)  วิหารพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์(ตี่จั่งอ้วงผ่อสัก)  วิหารบรรพบุรุษเป็นที่สาธุชนตั้งป้ายบูชาวิญญาณผู้ล่วงลับ  และสถูปเจดีย์ทรงธิเบตที่บรรจุอัฐิบูรพาจารย์ด้านหลังวัด  แวดล้อมด้วยหมู่กุฏิสงฆ์  โรงครัว  โรงอาหาร  ที่พักผู้ปฏิบัติธรรม  เรียงรายอยู่โดยรอบอย่างเป็นระเบียบทางเดินภายในวัดส่วนใหญ่เป็นหิน

วัดมังกรบุปผาราม(วัดเล่งฮัวยี่) แห่งนี้มีงานประจำปีที่สำคัญ 2 งานคือ งานบุญกฐิน จะจัดขึ้นหลังช่วงเทศกาลออกพรรษา และงานทำบุญประจำปีของวัด ซึ่งจะจัดขึ้นหลังวันตรุษจีน 21 วันมีประชาชนเดินทางมาร่วมทำบุญถือศีลและพำนักที่วัดตลอดช่วงการจัดงานนาน 7-10 วัน


การเดินทางมาเที่ยวชมวัดมังกรบุปผาราม ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท  ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์  จังหวัดจันทบุรี  22130  โทร. 039-397210 เวลาให้บริการ : 06:00-18:00  ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ เป็นยังไงกันบ้างมีความวุขกับการเดินทางนะครับ

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น